ไขมันพอกตับ ภัยเงียบที่คุณอาจไม่รู้ตัว และสาเหตุของมะเร็งตับ

ศูนย์ : ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ

บทความโดย : นพ. สมบุญ รุ่งจิรธนานนท์

ไขมันพอกตับ

ภาวะไขมันพอกตับ (Fatty Liver) นับว่าเป็นโรคที่พบได้บ่อยขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งสัมพันธ์กับโรคหลายอย่างที่เรียกว่า อาการเมตาบอลิค หรือภาวะกลุ่มโรคเดียว กับ โรคอ้วน โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูงที่เรียกว่า กลุ่มโรคกินดีอยู่ดี โดยมีลักษณะอาการคล้ายกันในกลุ่มโรคเดียวกัน ซึ่งเกิดจากการที่เราบริโภคไขมัน น้ำตาล ของหวาน หรือบริโภคแป้งมากเกินไป พอร่างกายใช้ไม่หมด ก็จะสะสมเป็นไตรกลีเซอไลน์ในเซลล์ตับ พอถึงวันดีคืนดี ก็จะก่อให้เกิดการอักเสบขึ้นมา ซึ่งสาเหตุแท้จริงก็ยังไม่ชัดเจนว่า สาเหตุใดที่ทำให้เกิดการอักเสบของตับขึ้นมาได้ เพราะว่าผู้ที่เป็นไขมันพอกตับบางคน เช่น คนอ้วนที่ตรวจอัลตราซาวด์ตับ พบว่ามีไขมันพอกตับ แต่การตรวจวัดค่าตับก็ยังมีค่าปกติอยู่


ไขมันพอกตับ คืออะไร


ไขมันพอกตับ ไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับ หรือ Fatty Liver คือ ภาวะที่มีไขมันเข้าไปสะสมที่เนื้อตับ (ไขมันเกาะตับ) มากกว่า 5-10% และมักจะเป็นไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglyceride) ปกติไขมันที่ร่างกายได้รับจะถูกเผาผลาญที่ตับและเนื้อเยื่อต่าง ๆ แต่เมื่อร่างกายได้รับเกินความต้องการ ไขมันส่วนนั้นจะถูกสะสมในรูปแบบเนื้อเยื่อไขมัน แล้วค่อย ๆ สะสมที่ตับจนมากเกินกว่าปกติ และส่งผลให้ตับทำงานผิดปกติ โดยทั่วไปจะไม่ค่อยมีอาการ พอนานวันขึ้น จะพัฒนาจนนำมาสู่การอักเสบภายในเนื้อตับอย่างเรื้อรัง ทำให้เกิดพังผืด เกิดภาวะตับแข็ง ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คุณอาจไม่รู้ตัวและอาจนำมาสู่ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จนถึงแก่ชีวิตได้

> กลับสารบัญ


ไขมันพอกตับเกิดจากอะไร สาเหตุไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับ เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่จำเป็นต้องเป็นคนอ้วนเท่านั้น โดยมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นประจำในปริมาณมากเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้ตับอักเสบโดยตรง และทำให้ไขมันสะสมในตับ เกิดการอักเสบและเกิดพังผืดในตับ ก่อให้เกิดภาวะตับแข็งตามมาในไม่ช้า แต่ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง คือ คนที่อ้วนลงพุง น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ผู้ตรวจพบโรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปถึง 60%

รวมไปถึงสาเหตุอื่น ๆ เช่น โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี หรือการติดเชื้อเอชไอวี ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด การถ่ายทอดทางพันธุกรรม เป็นต้น โดยส่วนใหญ่โรคไขมันพอกตับจะไม่ค่อยแสดงอาการ หรือผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้เล็กน้อย รู้สึกปวดหน่วงบริเวณใต้ชายโครงขวา ซึ่งหากแพทย์สงสัยจะมีการส่งตรวจเพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติม

> กลับสารบัญ


ไขมันพอกตับอาการเป็นอย่างไร


อาการไขมันพอกตับ อาการไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับ อาการจะไม่ค่อยมีอะไร โดยอาจจะมีอาการอื่นมากกว่า เช่น บางคนอาจมีอาการตับโต รู้สึกจุกเสียดใต้ชายโครงได้บ้าง แต่ก็เป็นอาการที่พบได้ไม่บ่อยนัก ส่วนมากผู้ที่ตรวจพบว่า มีอาการไขมันพอกตับจะทราบจากผลตรวจสุขภาพร่างกาย เช่น เป็นโรคอื่นแล้วมาทำการตรวจ นอกจากภาวะเมตาบอลิค ไขมันพอกตับก็ยังเกิดจากเหตุอื่นได้ เช่น ผู้ที่ดื่มเหล้า โดยโรคตับที่เกิดขึ้นจากการดื่มเหล้า ก็จะเริ่มต้นจากระยะที่มีไขมันพอกตับได้เช่นกัน หรือว่ายาบางอย่าง ก็มีผลทำให้เป็นไขมันพอกตับได้เช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ก็จะเกิดขึ้นจากภาวะการกินเป็นหลัก

> กลับสารบัญ


ปรึกษาแพทย์ออนไลน์

ใครคือกลุ่มเสี่ยงภาวะไขมันพอกตับบ้าง

  • ผู้สูงอายุ
  • ผู้ที่มีคอเรสเตอรอลในเลือดสูง
  • ผู้ที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
  • ผู้ที่อ้วนลงพุง
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
  • ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน (Hypothyroidism)

> กลับสารบัญ


การวินิจฉัยไขมันพอกตับ

การวินิจฉัยโรคไขมันพอกตับทำได้โดยเจาะเลือดเพื่อตรวจหาค่าการทำงานของตับ ได้แก่ ค่า ALT, AST, ALP ที่ผิดปกติ หรือดูจากอัลตราซาวด์ช่องท้อง การเจาะชิ้นเนื้อตับ (liver biopsy) และการตรวจด้วยเครื่องไฟโบรสแกน Fibroscan คือ เทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจโรคเกี่ยวกับตับ โดยจะใช้เพื่อตรวจหาพังผืดในเนื้อตับ และตรวจวัดปริมาณไขมันสะสมในตับ ซึ่งการตรวจด้วยวิธีนี้ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน เมื่อเทียบกับวิธีตรวจแบบเดิมที่ต้องเจาะตับ นอกจากนี้ก็สามารถตรวจก่อนป่วยได้อีกด้วย เพราะยิ่งตรวจก่อน ยิ่งทำให้การรักษาได้ทันและมีประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ทางการแพทย์ที่ช่วยประเมินปริมาณไขมันในตับรวมถึงระดับพังผืดและตับแข็งได้โดยที่ผู้ป่วยไม่เจ็บตัว ใช้เวลาไม่นาน

ไขมันพอกตับแต่ละระยะเป็นอย่างไร

  • ระยะที่ 1 เป็นระยะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเนื้อตับ ยังไม่มีอาการหรือการอักเสบเกิดขึ้นในตับ
  • ระยะที่ 2 เป็นระยะที่เริ่มมีอาการอักเสบของตับ หากไม่มีการรักษาและปล่อยให้การอักเสบเกินกว่า 6 เดือนอาจกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังได้
  • ระยะที่ 3 การอักเสบรุนแรงต่อเนื่องจนเกิดพังผืด (fibrosis) สะสมในตับ ระยะนี้เซลล์ตับค่อย ๆ ถูกทำลายลงและกลายเป็นพังผืด
  • ระยะที่ 4 เซลล์ตับถูกทำลายไปมาก ส่งผลให้ตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เกิดภาวะตับแข็งและอาจนำมาสู่มะเร็งตับได้

ประเภทไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มที่มีอาการไขมันพอกตับ กับ กลุ่มที่มีค่าตับปกติ ซึ่งทั้ง 2 กลุ่ม ล้วนมีความเสี่ยงของตับอักเสบเรื้อรัง อาจมีความเสี่ยงสูงมากกว่าในระยะยาว ซึ่งจำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังดูแลเป็นพิเศษ แต่ว่าทั้ง 2 กลุ่ม ไม่ว่าจะมีตับอักเสบ หรือไม่มีตับอักเสบ ถ้าทำอัลตราซาวน์แล้วพบว่า มีไขมันพอกตับแล้ว ก็ต้องระวัง ต้องงดเรื่องการบริโภคของหวานของมัน หรือแป้ง และจำเป็นต้องออกกำลังกาย รวมทั้งคุมน้ำหนักอย่างสม่ำเสมอ

> กลับสารบัญ


แนวทางการรักษาและป้องกันไขมันพอกตับ


วิธีรักษาไขมันพอกตับ วิธีรักษาไขมันพอกตับ

วิธีรักษาไขมันพอกตับ หากพบว่าเป็นไขมันพอกตับ แพทย์จะพิจารณาให้ยารับประทานตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย พร้อมทั้งปรับพฤติกรรมในการใช้ชีวิต อาทิ

  • ในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน (BMI เกิน 25) หรือภาวะอ้วนลงพุง ควรออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร เพื่อลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมอาหาร รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีไขมันต่ำ กากใยสูง และให้พลังงานต่ำ
  • ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเป็นเบาหวานหรือไขมันในเลือดสูง ควรควบคุมอาหาร ออกกำลังกายและรับประทานยาตามแพทย์สั่ง เพื่อควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่ไม่จำเป็น ตลอดจนผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่อาจมีผลข้างเคียงต่อตับ
  • งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

> กลับสารบัญ


อาหารที่ช่วยลดไขมันตับ

การลดไขมันพอกตับ (ไขมันสะสมในตับ) ต้องอาศัยการปรับพฤติกรรมการกินเป็นหลัก โดยเฉพาะการเลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพตับและลดการสะสมของไขมันในตับ ได้แก่

  • อาหารที่มีไฟเบอร์สูง ช่วยลดการดูดซึมไขมันและน้ำตาลในเลือด ได้แก่ ผักใบเขียว เช่น คะน้า ผักโขม บรอกโคลี ผลไม้ที่น้ำตาลต่ำ เช่น แอปเปิล เบอร์รี่ ฝรั่ง และ ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีต
  • อาหารที่มีไขมันดี ช่วยลดไขมันเลว (LDL) และเพิ่มไขมันดี (HDL) ได้แก่ ปลาไขมันสูง เช่น แซลมอน ซาร์ดีน ปลาทู (มีโอเมก้า-3) ถั่วและเมล็ดพืช เช่น อัลมอนด์ เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย และน้ำมันพืชดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันอะโวคาโด (หลีกเลี่ยงน้ำมันปาล์ม)
  • อาหารที่มีโปรตีนไม่ติดมัน ช่วยซ่อมแซมตับและควบคุมระดับอินซูลิน เช่น อกไก่ไม่ติดหนัง เต้าหู้ ถั่วเหลือง ปลา หรือไข่ต้ม (ในปริมาณพอเหมาะ)
  • อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดการอักเสบในตับ เช่น ชาเขียว (ไม่หวาน) ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ และผักสีเข้ม เช่น ผักโขม บรอกโคลี

> กลับสารบัญ


ไขมันพอกตับไม่รักษา เสี่ยงภาวะตับแข็ง เป็นมะเร็งตับได้

ไขมันพอกตับ เป็นเหตุให้เกิดภาวะตับแข็ง หรือมีความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งตับได้ ปัจจุบันยังไม่มียาตัวใด ที่ได้ผลดีในการรักษาไขมันพอกตับ เท่ากับการปรับพฤติกรรม และเข้ารับการตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ และเข้าปรึกษากับทีมแพทย์เฉพาะทาง ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลนครธน ที่ให้บริการตรวจวินิจฉัย และรักษาครอบคลุมทุกปัญหาโรคระบบทางเดินอาหารและตับ อาทิ ไขมันพอกตับ กรดไหลย้อน ฯลฯ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย การส่องกล้องทางเดินอาหาร และให้บริการครบวงจรในที่เดียว (One Stop Service) พร้อมให้การดูแลอย่างใกล้ชิดโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง ด้วยความเอาใจใส่ และมุ่งมั่นในการให้บริการเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อน และลดระยะเวลาการพักฟื้นของผู้ป่วย

> กลับสารบัญ


ช่องทางติดต่อโรงพยาบาลนครธน:

  1. - Website : https://www.nakornthon.com
  2. - Facebook : Nakornthon Hospital
  3. - Line : @nakornthon
  4. - Tel: 02-450-9999 (ตลอด 24 ชั่วโมง)


ปรึกษาทุกปัญหาสุขภาพแบบออนไลน์
ไม่เสียค่าใช้จ่าย




Share :

สินค้าในตระกร้าไม่ถูกต้องตามเงื่อนไข, กรุณาตรวจสอบจำนวน
จัดการตระกร้าสินค้า

เมื่อคลิก “อนุญาตคุกกี้ทั้งหมด” หมายความว่าผู้ใช้งานยอมรับที่จะเปิดการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เพื่อให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพ เพื่อเปิดใช้คุณสมบัติของโซเชียลมีเดีย และเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการทำการตลาดและการโฆษณา รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลการใช้งานกับพาร์ทเนอร์โซเชียลมีเดีย